เกษตรธรรมชาติ
.
หลักสำคัญในการทำเกษตรธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ “การเลียนแบบธรรมชาติ”
ธรรมชาติของต้นไม้ในป่าเมื่อดอก ผล กิ่ง ใบ ร่วงหล่นลงดิน
ก็จะมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ คอยย่อยสลายเศษซากเหล่านั้นกลับคืนสู่ดิน
สะสมเป็นอาหารให้ต้นไม้นำกลับมาหล่อเลี้ยงลำต้น กิ่งก้าน ใบ ดอก ผล
ได้ต่อไป
เปรียบเทียบกับการทำการเกษตรของเราในปัจจุบัน เราเก็บดอกผลไปกิน ไปขาย
เป็นการนำอาหารออกไปจากดินทุกปี โดยไม่เคยใส่คืนกลับมา
มิหนำซ้ำยังมีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า
ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในดินที่ช่วยย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
ช่วยสร้างอาหารให้พืชถูกทำลายไปด้วย
เมื่อดินเสื่อม ดินตาย ผลผลิตก็ลดลง ต้องเพิ่มปุ๋ยเพิ่มยามากขึ้น
ราคาผลผลิตก็ไม่แน่นอนขึ้นลงตามกลไกของตลาด
ที่คงที่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ ราคาปุ๋ยและยา
ชีวิตเกษตรกรก็กลับเข้าสู่วังวนเดิม ๆ นั่นก็คือ ขาดทุนซ้ำซาก
หนี้สินพอกพูน ที่ร้ายกว่านั้นคือสุขภาพที่ทรุดโทรมสะสมจากการใช้สารเคมี
การนำจุลินทรีย์มาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของเกษตรกร
จะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้มาก
การนำเอาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มาทำเป็นหัวเชื้อ
สำหรับนำไปขยายและประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ
ทั้งการช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช
คืนสมดุลให้กับธรรมชาติ
เกษตรกรจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีอีก
ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นตามไปด้วย
การใช้หลักชีววิธีในการปรับปรุงบำรุงดิน
ต้องให้เวลาจุลินทรีย์ทำงานพอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ผ่านการใส่ปุ๋ยใส่สารเคมีมาเป็นระยะเวลานาน
ยิ่งต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษ ไม่มีทางที่ช่วงแรก ๆ
ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในพริบตา การงดใช้สารเคมีในทันที
ผลผลิตก็ต้องลดลงในทันทีเช่นกัน
(นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แนวคิดเกษตรยั่งยืนยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ของเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศ พูดยากครับ เป็นเรื่องของมุมมองและวิธีคิด
ต้องลองทำเลย ใครทำใครได้ ถือเป็นปฏิบัติปัญญา) แต่เมื่อดินถูกปรับสภาพ
ปรับโครงสร้าง จนเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชแล้ว
เมื่อนั้นผลผลิตก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ
เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
.
ฉะนั้นถ้าจะเริ่มต้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ส่งจุลินทรีย์กลับบ้าน … กลับคืนสู่ดิน
.
จบครับ … สำหรับหลักการคร่าว ๆ เท่าที่เข้าใจ กลับมาที่สวนดีกว่า
ที่นี่เราสร้างบ้านที่น่าอยู่ให้กับจุลินทรีย์ด้วยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก
คลุมดินด้วยใบไม้ใบหญ้าและอินทรียวัตถุต่างๆ
ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์จัดการ ตั้งแต่ตระเตรียมอาหารให้พืช
ปรับปรุงบำรุงดินให้สมบูรณ์ ร่วนซุย เหมาะแก่การหยั่งรากชอนไชของพืช
ทั้งยังช่วยทำลายเชื้อโรคร้ายในดินซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ ในพืช
ทุกวันนี้ผมไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วครับ
นอกจากธาตุอาหารเสริมบางตัวที่ยังต้องให้ทางใบ
หลังจากปรับเปลี่ยนวิถีสวนมาเป็นเกษตรธรรมชาติได้สองปี (ยังเป็นแค่
semi-natural farming อยู่ครับยังไม่ pure) ที่เห็นได้ชัดคือ
ปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชน้อยลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นหนอนชอนใบ หนอนม้วนใบ
หนอนคืบกินใบ หรือ เพลี้ยต่าง ๆ ที่เคยเป็นเจ้าประจำ
แต่ปีนี้ไม่แวะเวียนมาทักทายกันเลย
น่าจะเป็นผลจากต้นไม้แข็งแรงขึ้น มีภูมิคุ้มกันโรคและแมลง
และผลจากการใช้สมุนไพรทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชผสมผสานกับการทำงาน
ของจุลินทรีย์ที่ทำให้เหล่าผีเสื้อมวน ผีเสื้อหนอนทั้งหลายไม่วางไข่
หรือวางแล้วไข่ฝ่อไม่ฟักเป็นตัว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ
สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้แมลงศัตรูธรรมชาติจำพวกตัวห้ำ ตัวเบียน
มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นลูกมือช่วยเราห้ำหั่น เบียดเบียน
เจ้าพวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายให้ลดน้อยลง
จนความเสียหายอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ขอสดุดีวีรกรรมของเพื่อนสวนทั้งหลายเท่าที่ปรากฏตัวให้เห็น อาทิ นก
แมงมุม ตั๊กแตน ด้วงเต่า มวนพิฆาต รวมไปถึงบรรดาต่อ แตน และ มด
อาจจะมีอีกหลายชนิดที่ไม่รู้จักและไม่เห็นตัว
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกชีวิตที่ได้มาอาศัยและช่วยเหลือกัน
ยังครับยังไม่แฮปปี้เอนดิ้ง
ยังมีศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้สวนผมอยู่ ก็คือ บรรดาแมลงปีกแข็งต่าง ๆ
จำพวก แมลงค่อมทอง ด้วงปีกแข็ง ที่มาแทะใบอ่อนลำไยซะพรุนไปหมด
พวกนี้สมุนไพรเอาไม่ค่อยอยู่อย่างมากก็หนีไปแต่สักพักก็กลับมาใหม่
อีกอย่างช่วง ก.พ-เม.ย เป็นช่วงระบาดของพวกมันพอดี
ถ้าใช้ยาฆ่าแมลงก็แน่นอนว่าตายหมดแน่ครับไม่มีเหลือ
รวมไปถึงพรรคพวกเพื่อนสวนแมลงศัตรูธรรมชาติทั้งหลายของผมด้วย
ที่ทำได้ในตอนนี้คือใช้ระบบแมนน่วล คือ จับมาหักคอทิ้งที่ละตัวสองตัว
ยังดีที่ควบคุมทรงพุ่มเอาไว้ไม่ให้สูงเกิน ๓ เมตร
ทำให้ไม่ลำบากมากนักเวลาไล่ล่าพวกมัน
.
ห้องทำงานของจุลินทรีย์
นี่ล่ะครับไอ้ตัวร้าย … แมลงค่อมทอง
ดูมันทำ … ชีวิตช่างรื่นรมย์เสียจริง
นี่อีกตัวครับ … ด้วงปีกแข็ง
.
มานึกดูแล้วก็ผิดที่เราเองนี่แหละที่คิดทำลำไยนอกฤดู
พวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายเลยมีอาหารกินตลอดทั้งปี จริง ๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำไยธรรมชาติเริ่มติดผลเท่าหัวไม้ขีดแล้ว
แต่ของเรากำลังเร่งให้แตกใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมทำนอกฤดู
นี่คงเป็นผลของการเหยียบเรือสองแคม
ปลูกพืชเชิงเดี่ยวแต่ริใช้วิธีธรรมชาติ
ทั้งที่จริงแล้วเกษตรธรรมชาติควรมีความหลากหลาย ผสมผสาน
และมุ่งหวังเพียงเพื่อการยังชีพ แต่ผมยังมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า
การประยุกต์ศาสตร์ทางการเกษตรรูปแบบต่าง ๆ มาใช้
โดยอยู่บนพื้นฐานของการเคารพนบนอบกับธรรมชาติ
น่าจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับชีวิตได้
แม้ผมจะมุ่งหวังทำการเกษตรในเชิงการค้าเป็นหลักก็ตาม
คงต้องปวดหัวกันอีกหลายยกล่ะครับกับการใช้ธรรมชาติช่วยฝืนธรรมชาติ
.
สนใจศีกษาเรื่องราวของแมลงศัตรูธรรมชาติ เชิญ ที่นี่ เลยครับ
.
แก้ไขเพิ่มเติม วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เนื่องจากลิงค์ข้างบนกลายเป็น bad link ไปเสียแล้ว เลยขอแนะนำ
ความรู้เบื่องต้นเรื่อง “การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี
จากนิตยสารเกษตรศาสตร์ ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๗
ไว้ให้แทน และถ้าสนใจในระดับ advanced
ขอแนะนำแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้แมลงศัตรูธรรมชาติในการควบคุมโรค
และแมลงศัตรูพืช จากเอกสารเผยแพร่ของศูนย์บริหารศัตรูพืช จ.เชียงใหม่
กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จำแนกไว้ดังนี้
.
หลักสำคัญในการทำเกษตรธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ “การเลียนแบบธรรมชาติ”
ธรรมชาติของต้นไม้ในป่าเมื่อดอก ผล กิ่ง ใบ ร่วงหล่นลงดิน
ก็จะมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ คอยย่อยสลายเศษซากเหล่านั้นกลับคืนสู่ดิน
สะสมเป็นอาหารให้ต้นไม้นำกลับมาหล่อเลี้ยงลำต้น กิ่งก้าน ใบ ดอก ผล
ได้ต่อไป
เปรียบเทียบกับการทำการเกษตรของเราในปัจจุบัน เราเก็บดอกผลไปกิน ไปขาย
เป็นการนำอาหารออกไปจากดินทุกปี โดยไม่เคยใส่คืนกลับมา
มิหนำซ้ำยังมีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า
ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในดินที่ช่วยย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
ช่วยสร้างอาหารให้พืชถูกทำลายไปด้วย
เมื่อดินเสื่อม ดินตาย ผลผลิตก็ลดลง ต้องเพิ่มปุ๋ยเพิ่มยามากขึ้น
ราคาผลผลิตก็ไม่แน่นอนขึ้นลงตามกลไกของตลาด
ที่คงที่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ ราคาปุ๋ยและยา
ชีวิตเกษตรกรก็กลับเข้าสู่วังวนเดิม ๆ นั่นก็คือ ขาดทุนซ้ำซาก
หนี้สินพอกพูน ที่ร้ายกว่านั้นคือสุขภาพที่ทรุดโทรมสะสมจากการใช้สารเคมี
การนำจุลินทรีย์มาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของเกษตรกร
จะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้มาก
การนำเอาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มาทำเป็นหัวเชื้อ
สำหรับนำไปขยายและประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ
ทั้งการช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช
คืนสมดุลให้กับธรรมชาติ
เกษตรกรจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีอีก
ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นตามไปด้วย
การใช้หลักชีววิธีในการปรับปรุงบำรุงดิน
ต้องให้เวลาจุลินทรีย์ทำงานพอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ผ่านการใส่ปุ๋ยใส่สารเคมีมาเป็นระยะเวลานาน
ยิ่งต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษ ไม่มีทางที่ช่วงแรก ๆ
ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในพริบตา การงดใช้สารเคมีในทันที
ผลผลิตก็ต้องลดลงในทันทีเช่นกัน
(นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แนวคิดเกษตรยั่งยืนยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ของเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศ พูดยากครับ เป็นเรื่องของมุมมองและวิธีคิด
ต้องลองทำเลย ใครทำใครได้ ถือเป็นปฏิบัติปัญญา) แต่เมื่อดินถูกปรับสภาพ
ปรับโครงสร้าง จนเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชแล้ว
เมื่อนั้นผลผลิตก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ
เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
.
ฉะนั้นถ้าจะเริ่มต้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ส่งจุลินทรีย์กลับบ้าน … กลับคืนสู่ดิน
.
จบครับ … สำหรับหลักการคร่าว ๆ เท่าที่เข้าใจ กลับมาที่สวนดีกว่า
ที่นี่เราสร้างบ้านที่น่าอยู่ให้กับจุลินทรีย์ด้วยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก
คลุมดินด้วยใบไม้ใบหญ้าและอินทรียวัตถุต่างๆ
ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์จัดการ ตั้งแต่ตระเตรียมอาหารให้พืช
ปรับปรุงบำรุงดินให้สมบูรณ์ ร่วนซุย เหมาะแก่การหยั่งรากชอนไชของพืช
ทั้งยังช่วยทำลายเชื้อโรคร้ายในดินซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ ในพืช
ทุกวันนี้ผมไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วครับ
นอกจากธาตุอาหารเสริมบางตัวที่ยังต้องให้ทางใบ
หลังจากปรับเปลี่ยนวิถีสวนมาเป็นเกษตรธรรมชาติได้สองปี (ยังเป็นแค่
semi-natural farming อยู่ครับยังไม่ pure) ที่เห็นได้ชัดคือ
ปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชน้อยลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นหนอนชอนใบ หนอนม้วนใบ
หนอนคืบกินใบ หรือ เพลี้ยต่าง ๆ ที่เคยเป็นเจ้าประจำ
แต่ปีนี้ไม่แวะเวียนมาทักทายกันเลย
น่าจะเป็นผลจากต้นไม้แข็งแรงขึ้น มีภูมิคุ้มกันโรคและแมลง
และผลจากการใช้สมุนไพรทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชผสมผสานกับการทำงาน
ของจุลินทรีย์ที่ทำให้เหล่าผีเสื้อมวน ผีเสื้อหนอนทั้งหลายไม่วางไข่
หรือวางแล้วไข่ฝ่อไม่ฟักเป็นตัว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ
สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้แมลงศัตรูธรรมชาติจำพวกตัวห้ำ ตัวเบียน
มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นลูกมือช่วยเราห้ำหั่น เบียดเบียน
เจ้าพวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายให้ลดน้อยลง
จนความเสียหายอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ขอสดุดีวีรกรรมของเพื่อนสวนทั้งหลายเท่าที่ปรากฏตัวให้เห็น อาทิ นก
แมงมุม ตั๊กแตน ด้วงเต่า มวนพิฆาต รวมไปถึงบรรดาต่อ แตน และ มด
อาจจะมีอีกหลายชนิดที่ไม่รู้จักและไม่เห็นตัว
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกชีวิตที่ได้มาอาศัยและช่วยเหลือกัน
ยังครับยังไม่แฮปปี้เอนดิ้ง
ยังมีศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้สวนผมอยู่ ก็คือ บรรดาแมลงปีกแข็งต่าง ๆ
จำพวก แมลงค่อมทอง ด้วงปีกแข็ง ที่มาแทะใบอ่อนลำไยซะพรุนไปหมด
พวกนี้สมุนไพรเอาไม่ค่อยอยู่อย่างมากก็หนีไปแต่สักพักก็กลับมาใหม่
อีกอย่างช่วง ก.พ-เม.ย เป็นช่วงระบาดของพวกมันพอดี
ถ้าใช้ยาฆ่าแมลงก็แน่นอนว่าตายหมดแน่ครับไม่มีเหลือ
รวมไปถึงพรรคพวกเพื่อนสวนแมลงศัตรูธรรมชาติทั้งหลายของผมด้วย
ที่ทำได้ในตอนนี้คือใช้ระบบแมนน่วล คือ จับมาหักคอทิ้งที่ละตัวสองตัว
ยังดีที่ควบคุมทรงพุ่มเอาไว้ไม่ให้สูงเกิน ๓ เมตร
ทำให้ไม่ลำบากมากนักเวลาไล่ล่าพวกมัน
.
ห้องทำงานของจุลินทรีย์
นี่ล่ะครับไอ้ตัวร้าย … แมลงค่อมทอง
ดูมันทำ … ชีวิตช่างรื่นรมย์เสียจริง
นี่อีกตัวครับ … ด้วงปีกแข็ง
.
มานึกดูแล้วก็ผิดที่เราเองนี่แหละที่คิดทำลำไยนอกฤดู
พวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายเลยมีอาหารกินตลอดทั้งปี จริง ๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำไยธรรมชาติเริ่มติดผลเท่าหัวไม้ขีดแล้ว
แต่ของเรากำลังเร่งให้แตกใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมทำนอกฤดู
นี่คงเป็นผลของการเหยียบเรือสองแคม
ปลูกพืชเชิงเดี่ยวแต่ริใช้วิธีธรรมชาติ
ทั้งที่จริงแล้วเกษตรธรรมชาติควรมีความหลากหลาย ผสมผสาน
และมุ่งหวังเพียงเพื่อการยังชีพ แต่ผมยังมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า
การประยุกต์ศาสตร์ทางการเกษตรรูปแบบต่าง ๆ มาใช้
โดยอยู่บนพื้นฐานของการเคารพนบนอบกับธรรมชาติ
น่าจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับชีวิตได้
แม้ผมจะมุ่งหวังทำการเกษตรในเชิงการค้าเป็นหลักก็ตาม
คงต้องปวดหัวกันอีกหลายยกล่ะครับกับการใช้ธรรมชาติช่วยฝืนธรรมชาติ
.
สนใจศีกษาเรื่องราวของแมลงศัตรูธรรมชาติ เชิญ ที่นี่ เลยครับ
.
แก้ไขเพิ่มเติม วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑
เนื่องจากลิงค์ข้างบนกลายเป็น bad link ไปเสียแล้ว เลยขอแนะนำ
ความรู้เบื่องต้นเรื่อง “การควบคุมแมลงศัตรูพืชโดยชีววิธี
จากนิตยสารเกษตรศาสตร์ ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๗
ไว้ให้แทน และถ้าสนใจในระดับ advanced
ขอแนะนำแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้แมลงศัตรูธรรมชาติในการควบคุมโรค
และแมลงศัตรูพืช จากเอกสารเผยแพร่ของศูนย์บริหารศัตรูพืช จ.เชียงใหม่
กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จำแนกไว้ดังนี้
Sat Oct 29, 2016 10:04 pm by buahom
» 100CBN เว็บคลิกไทย 10-20 บาทต่อคลิก+จ่ายจริง
Tue Jan 05, 2016 9:38 pm by buahom
» 100CBN เว็บคลิกไทย 10-20 บาทต่อคลิก+จ่ายจริง
Tue Jan 05, 2016 9:25 pm by buahom
» กสทช.หารือโอเปอเรเตอร์สรุปขั้นตอนการใช้บริการยกเลิก SMS *137 แก้ไขปัญหาผู้ใช้บริการสับสน
Sun Oct 05, 2014 10:28 pm by Admin
» วิธีการแจังยกเลิกบริการSMS ที่ถูกคิดค่าบริการ DTAC AIS True
Sun Oct 05, 2014 10:21 pm by Admin
» SoftEther VPN Client โปรแกรมปลี่ยนไอพี (ip) ให้เป็นไอพีต่างประเทศ
Sun Oct 05, 2014 9:17 pm by Admin
» HMA Pro VPN 2 6 9 Crack + Patch [HIDE MY ASS]
Fri Oct 03, 2014 11:22 am by Admin
» DHCP หมายถึงอะไร
Wed Oct 01, 2014 3:28 pm by Admin
» เพาะเลี้ยงกุ้งฝอย
Wed Oct 01, 2014 12:14 am by Admin