สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
“ต้องตื่นตี 3 .... ไปรอน้ำที่ค่อย ๆ ซึมขึ้นมาแล้วก็ตักเอามาใช้...เราว่าเราตื่นเช้าแล้วนะ แต่พอไปถึง มีคนไปรอก่อนเราอีก”
บุญธรรม คงทน สะท้อนภาพปัญหา การขาดแคลนน้ำ ที่เขา และชาวบ้านผาชันกว่า 600 ชีวิต ใน 134 ครอบครัวร่วมกันเผชิญร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปี โดยทุกๆ ฤดูแล้งเขา และเพื่อนบ้านจะต้องตื่นกันแต่เช้าตรู่เพื่อเข็นรถไปตักน้ำจากแหล่งน้ำซับ ซึ่งอยู่บริเวณชายป่านอกหมู่บ้าน....................
แทบไม่น่าเชื่อชุมชนขนาดเล็กที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงจะเคย วิกฤติถึงขั้นต้องไปซื้อน้ำจากต่างอำเภอมาใช้ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพที่ตั้งของชุมชนซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินและมีความ ลาดชัน ข้อจำกัดของพื้นที่ดังกล่าวคือไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ในฤดูฝน ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำไม่สามารถไหลซึมลงดินได้ และเมื่อไม่สามารถซึมลงดิน มันก็จะไหลลงแม่น้ำโขงเกือบทั้งหมด ผลกระทบที่ตามมาคือ เมื่อกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเข้าไปเจาะบ่อบาดาลเพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ใน ยามแล้ง ปรากฏว่าไม่พบน้ำใต้ดินแม้จะขุดลึกลงไปในดินถึง 60 เมตรก็ตาม
ในส่วนของความพยายามที่จะดึงน้ำจากแม่นำโขงขึ้นมาใช้นั้น สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ใช้งบประมาณกว่า 3 ล้านบาทในการเข้ามาวางระบบประปาชุมชน ทำถังเก็บขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน และใช้เครื่องสูบน้ำจากบุ่งพระละคอน (อ่างน้ำธรรมชาติขนาดเล็กริมแม่น้ำโขง) ที่อยู่ห่างจาก 300 เมตร และมีน้ำทั้งปี แต่ชาวบ้านใช้ประปาจาก รพช.ได้ไม่นานก็ต้องหยุด เนื่องจากระยะทางระหว่างจุดสูบน้ำ และถังเก็บน้ำอยู่ห่างกันและมีความลาดชันสูงส่งผลให้เครื่องสูบน้ำได้รับ ความเสียหาย และชาวบ้านมองว่ามันไม่คุ้มกับค่าซ่อมบำรุงมอเตอร์สูบน้ำ
เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้ผล ทางออกคือของชุมชนคือต้องอาศัยภูมิปัญญาตัวเองด้วยการสร้างทำนบขนาดเล็กกั้น บริเวณจุดน้ำซับตรงลำห้วยเสาเฉลียง และบริเวณน้ำซับจุดอื่น ๆ ซึ่งเป็นบริเวณที่ บุญธรรม และชาวบ้านผาชันไปนั่งรอเป็นเวลากว่าค่อนคืนเพื่อที่จะขอดเอาน้ำจากบ่อมาใช้ ดื่มกิน ซึ่งการมานั่งรอเพื่อตักน้ำซับไม่ได้ลำบากเฉพาะชาวบ้านเท่านั้น หากแต่ยังส่งกระทบไปถึงการเรียนการสอนด้วย เพราะเด็ก ๆ ต้องออกไปช่วยพ่อแม่ตักน้ำจากลำห้วยมาไว้ที่บ้านก่อนไปโรงเรียนซึ่งบางคน ต้องใช้เวลาเดินไป – เดินกลับประมาณ 2 ชั่วโมง และในโรงเรียนเด็ก ๆ จะถูกจัดเวรให้ไปตักน้ำมาใช้ในห้องน้ำ ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะเรื่องการใช้น้ำเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงการเรียนการสอนด้วย โดยเฉพาะวิชาเกษตรที่ต้องทำการทดลองปลูกผักก็ต้องงด...บ่อกบที่ทำการทดลอง เลี้ยงก็ต้องเลิก…สรุปก็คือ วิชาที่เกี่ยวกับการเกษตร และต้องใช้น้ำต้องยกเลิกในช่วงหน้าแล้ง
แม้จะพยายามกันทุกรูปแบบเพื่อให้มีน้ำใช้ ทั้งการขุดบ่อบาดาล สูบน้ำจากบ่อ ทำฝายกั้นลำห้วย แต่นั้นก็ยังไม่ใช่ทางออกของปัญหา ครูกล พรมสำลี ครูโรงเรียนชมรมจักรยานสมัครเล่นบ้านผาชันบอกว่าบางปี วิกฤติถึงขั้นต้องไปซื้อน้ำใช้
“เพราะพวกเราก็ทำกันทุกวิถีทางแล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ พอดี Nature care หรือศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี เข้ามาอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่ชาวบ้านผาชันมองว่าน่าจะทดลองดู...”
ชาวบ้านไม่แค่ทดลองทำ แต่ได้ลงมือทำวิจัยอย่างจริงจัง จุดเด่นของบ้านผาชันคือการมีเวที
”ประชาคมหมู่บ้าน” ที่มักเอาเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนมาหารือ ประเด็นงานวิจัยก็เช่นเดียวกัน
“ในเวทีก็ถกเถียงกันพอสมควร ชาวบ้านส่วนใหญ่ถามว่าถ้าทำวิจัยเรื่องการท่องเที่ยว แล้วถ้านักท่องเที่ยวเข้ามามาก ๆ จะเอาน้ำที่ไหนใช้...เราก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเรื่องการจัดการน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีน้ำจำกัด จะมีวิธีการบริหารจัดการน้ำอย่างไรให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
ภายใต้โครงการวิจัย: ศึกษารูปแบบการจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด : กรณีบ้านผาชัน ตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาคโดยมี กล พรมสำลี อาจารย์ โรงเรียนจักรยานสมัครเล่นบ้านผาชันเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย นั้น คนผาชันเริ่มต้นงานวิจัยของพวกเขาด้วยการศึกษาปริมาณแหล่งน้ำที่มีอยู่ใน หมู่บ้าน พร้อม ๆ ไปกับการศึกษาปริมาณการใช้น้ำของชาวบ้าน ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เห็นว่า ปริมาณที่มิอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อทำไปสู่การหาวิธีการ “ใช้น้ำ” ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“เมื่อก่อนเราแก้ปัญหากันเฉพาะแค่จะหาทางเอาน้ำมาใช้เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มองพฤติกรรมการใช้น้ำของตัวเองว่าเป็นอย่างไร รู้จักประหยัดน้ำหรือไม่ เพราะถ้ามีน้ำแล้วเราไม่รู้จักใช้มันอย่างรู้ค่า ต่อให้มีน้ำมากเท่าไหร่ก็คงไม่เพียงพอ”
และในระหว่างที่ชาวบ้านและทีมวิจัย กำลังดำเนินโครงการวิจัยในระยะแรกอยู่นั้น โครงการ SML. เห็นความพยายามของชาวบ้านที่จะหาแนวทางพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนเอง จึงจัดสรรงบประมาณมาให้จำนวนหนึ่ง ชาวบ้านนำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในการต่อเติมฝายวังอีแร้ง เพื่อรองรับน้ำในยามหน้าฝน งบประมาณอีกส่วนนำไปพัฒนาและปรับปรุงระบบประปา และซื้อมอเตอร์สูบน้ำตัวใหม่ทดแทนตัวเดิมที่ชำรุดไป
การต่อเติมฝายวังอีแร้ง ทำให้บ้านผาชันด้านทิศใต้ 21 ครัวเรือนที่เคยขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งได้มีน้ำใช้ เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่สูงเกินกว่าที่ระบบ “ประปาหมู่บ้าน” จะส่งน้ำมาถึง และในทางกลับกันก็จะทำให้อีก 113 ครัวเรือนที่อยู่ด้านเหนือด้านที่ติดแม่น้ำโขงมีน้ำ “ประปาภูเขา” ใช้ในช่วงหน้าน้ำเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวน้ำในแม่น้ำโขงจะท่วมบุ่งพระละคอนซึ่งไม่สามารถนำเครื่องลงไปสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้
และในส่วนของการสูบน้ำจากบุ่งพระละครขึ้นมาใส่ถังประปาหมู่บ้านนั้น ทีมวิจัยค้นพบ “แอร์แว” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการสูบน้ำด้วยการใช้อากาศเข้าไปช่วยในการเพิ่มแรงดันให้เครื่องสูบน้ำ โดยการต่อท่อซึ่งมีความยาว 1 เมตร 2 อัน
ครูกลบอกว่า “แอร์แว” หรือ “แอร์แวะ” คือการปล่อยให้อากาศมันแวะเข้าไปในน้ำ ทำให้น้ำมีแรงดันมากขึ้น...และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ...ไม่ทำให้เครื่องสูบ น้ำได้รับความเสียหายเหมือนกับทีผ่าน ๆ มา
“เป็นการค้นพบกันโดยบังเอิญ...ตอนนั้นเราทำฝายที่วังอีแรงเสร็จแล้ว ก็เหลือแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะสูบน้ำจากบุ่งพระละครขึ้นมาได้ เพราะหากสูบแบบเดิมเครื่องสูบน้ำพังแน่นอน พอดีมีชาวบ้านชื่อ ชรินทร์ อินทร์ทอง เข้ามาในเวทีประชาคม เล่าว่าตอนเขาสูบน้ำรดต้นไม้ เห็นสายยางขาดทำให้สายยางมันสะบัดไปมา และน้ำมันก็ฉีดแรงขึ้น....แกเลยเสนอให้เจาะรู้แล้วลองต่อท่อ...ทีมวิจัยก็ เลยเอาไปทดลองทำ...ทดลองอยู่หลายครั้ง เพราะมันต้องให้ได้ระยะของมัน ห่างเกินไป หรือ ใกล้กันเกินไปก็สูบน้ำไม่ขึ้น ระยะห่างที่ลงตัวที่สุดคือ ตัวท่อแอร์แวยาว 1 เมตร ระหว่างท่อทั้ง 2 อยู่ที่ 30 เซนติเมตร”
“แอร์แว” ทำให้คนบ้านผาชันมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แต่ชาวบ้านก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หากแต่ได้ร่วมกันคิดหาทาง “ประหยัดน้ำ” ขึ้นอีก เพราะจากการสำรวจข้อมูลการใช้น้ำของชุมชนพบว่าใน 1 วันคนบ้านผาชันใช้น้ำ 44,757.6 ลิตร โดยพบว่า กิจกรรมที่ใช้น้ำมาที่สุดคือ อาบ,ล้างหน้า,แปรงฟัน ใช้น้ำมากถึง 13,962 ลิตร ลองลงมาคือน้ำซักผ้า 10,566 ลิตร ซึ่งเมื่อทีมวิจัยได้นำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุมในเวทีประชาคมหมู่บ้านให้ชาว บ้านช่วยกันคิดหาวิธีลดการใช้น้ำ หรือ ใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันเป็นที่มาของกิจกรรม “ครอบครัวประหยัดน้ำ” โดยมอบรางวัลแก่ครอบครัวที่ชนะเลิศ เดือนละ 1 ครั้ง และให้ครอบครัวที่ได้รับรางวัลอธิบายเทคนิค วิธีการประหยัดน้ำให้กับครอบครัวอื่นๆ ได้ทราบและนำไปปฏิบัติตาม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแบ่งกลุ่มดูแลทำความสะอาดบ่อน้ำธรรมชาติของชุมชน เพื่อให้บ่อนำมีพื้นที่กักเก็บน้ำมากยิ่งขึ้น.........................
ปัจจุบันบุญธรรม และสมาชิกในครอบครัว ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอ “ขอด” น้ำจากก้นบ่อเพื่อเอามาใช้ดื่มกินอีกแล้ว เพราะมี “น้ำ” ที่พวกเขาเรียกกันติดปากว่า “น้ำจากงานวิจัย” ให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่บุญธรรมก็ไม่ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย ตรงกันข้ามครอบครัวของเขาช่วยกันประหยัด และใช้น้ำทุกหยดอย่างรู้ค่า กระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็น “ครอบครัวประหยัดน้ำ”ของหมู่บ้านรายแรกๆ
“ต้องตื่นตี 3 .... ไปรอน้ำที่ค่อย ๆ ซึมขึ้นมาแล้วก็ตักเอามาใช้...เราว่าเราตื่นเช้าแล้วนะ แต่พอไปถึง มีคนไปรอก่อนเราอีก”
บุญธรรม คงทน สะท้อนภาพปัญหา การขาดแคลนน้ำ ที่เขา และชาวบ้านผาชันกว่า 600 ชีวิต ใน 134 ครอบครัวร่วมกันเผชิญร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปี โดยทุกๆ ฤดูแล้งเขา และเพื่อนบ้านจะต้องตื่นกันแต่เช้าตรู่เพื่อเข็นรถไปตักน้ำจากแหล่งน้ำซับ ซึ่งอยู่บริเวณชายป่านอกหมู่บ้าน....................
แทบไม่น่าเชื่อชุมชนขนาดเล็กที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงจะเคย วิกฤติถึงขั้นต้องไปซื้อน้ำจากต่างอำเภอมาใช้ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพที่ตั้งของชุมชนซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินและมีความ ลาดชัน ข้อจำกัดของพื้นที่ดังกล่าวคือไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ในฤดูฝน ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำไม่สามารถไหลซึมลงดินได้ และเมื่อไม่สามารถซึมลงดิน มันก็จะไหลลงแม่น้ำโขงเกือบทั้งหมด ผลกระทบที่ตามมาคือ เมื่อกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเข้าไปเจาะบ่อบาดาลเพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ใน ยามแล้ง ปรากฏว่าไม่พบน้ำใต้ดินแม้จะขุดลึกลงไปในดินถึง 60 เมตรก็ตาม
ในส่วนของความพยายามที่จะดึงน้ำจากแม่นำโขงขึ้นมาใช้นั้น สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ใช้งบประมาณกว่า 3 ล้านบาทในการเข้ามาวางระบบประปาชุมชน ทำถังเก็บขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน และใช้เครื่องสูบน้ำจากบุ่งพระละคอน (อ่างน้ำธรรมชาติขนาดเล็กริมแม่น้ำโขง) ที่อยู่ห่างจาก 300 เมตร และมีน้ำทั้งปี แต่ชาวบ้านใช้ประปาจาก รพช.ได้ไม่นานก็ต้องหยุด เนื่องจากระยะทางระหว่างจุดสูบน้ำ และถังเก็บน้ำอยู่ห่างกันและมีความลาดชันสูงส่งผลให้เครื่องสูบน้ำได้รับ ความเสียหาย และชาวบ้านมองว่ามันไม่คุ้มกับค่าซ่อมบำรุงมอเตอร์สูบน้ำ
เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้ผล ทางออกคือของชุมชนคือต้องอาศัยภูมิปัญญาตัวเองด้วยการสร้างทำนบขนาดเล็กกั้น บริเวณจุดน้ำซับตรงลำห้วยเสาเฉลียง และบริเวณน้ำซับจุดอื่น ๆ ซึ่งเป็นบริเวณที่ บุญธรรม และชาวบ้านผาชันไปนั่งรอเป็นเวลากว่าค่อนคืนเพื่อที่จะขอดเอาน้ำจากบ่อมาใช้ ดื่มกิน ซึ่งการมานั่งรอเพื่อตักน้ำซับไม่ได้ลำบากเฉพาะชาวบ้านเท่านั้น หากแต่ยังส่งกระทบไปถึงการเรียนการสอนด้วย เพราะเด็ก ๆ ต้องออกไปช่วยพ่อแม่ตักน้ำจากลำห้วยมาไว้ที่บ้านก่อนไปโรงเรียนซึ่งบางคน ต้องใช้เวลาเดินไป – เดินกลับประมาณ 2 ชั่วโมง และในโรงเรียนเด็ก ๆ จะถูกจัดเวรให้ไปตักน้ำมาใช้ในห้องน้ำ ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะเรื่องการใช้น้ำเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงการเรียนการสอนด้วย โดยเฉพาะวิชาเกษตรที่ต้องทำการทดลองปลูกผักก็ต้องงด...บ่อกบที่ทำการทดลอง เลี้ยงก็ต้องเลิก…สรุปก็คือ วิชาที่เกี่ยวกับการเกษตร และต้องใช้น้ำต้องยกเลิกในช่วงหน้าแล้ง
แม้จะพยายามกันทุกรูปแบบเพื่อให้มีน้ำใช้ ทั้งการขุดบ่อบาดาล สูบน้ำจากบ่อ ทำฝายกั้นลำห้วย แต่นั้นก็ยังไม่ใช่ทางออกของปัญหา ครูกล พรมสำลี ครูโรงเรียนชมรมจักรยานสมัครเล่นบ้านผาชันบอกว่าบางปี วิกฤติถึงขั้นต้องไปซื้อน้ำใช้
“เพราะพวกเราก็ทำกันทุกวิถีทางแล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ พอดี Nature care หรือศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี เข้ามาอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่ชาวบ้านผาชันมองว่าน่าจะทดลองดู...”
ชาวบ้านไม่แค่ทดลองทำ แต่ได้ลงมือทำวิจัยอย่างจริงจัง จุดเด่นของบ้านผาชันคือการมีเวที
”ประชาคมหมู่บ้าน” ที่มักเอาเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนมาหารือ ประเด็นงานวิจัยก็เช่นเดียวกัน
“ในเวทีก็ถกเถียงกันพอสมควร ชาวบ้านส่วนใหญ่ถามว่าถ้าทำวิจัยเรื่องการท่องเที่ยว แล้วถ้านักท่องเที่ยวเข้ามามาก ๆ จะเอาน้ำที่ไหนใช้...เราก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเรื่องการจัดการน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีน้ำจำกัด จะมีวิธีการบริหารจัดการน้ำอย่างไรให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
ภายใต้โครงการวิจัย: ศึกษารูปแบบการจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด : กรณีบ้านผาชัน ตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาคโดยมี กล พรมสำลี อาจารย์ โรงเรียนจักรยานสมัครเล่นบ้านผาชันเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย นั้น คนผาชันเริ่มต้นงานวิจัยของพวกเขาด้วยการศึกษาปริมาณแหล่งน้ำที่มีอยู่ใน หมู่บ้าน พร้อม ๆ ไปกับการศึกษาปริมาณการใช้น้ำของชาวบ้าน ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เห็นว่า ปริมาณที่มิอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อทำไปสู่การหาวิธีการ “ใช้น้ำ” ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“เมื่อก่อนเราแก้ปัญหากันเฉพาะแค่จะหาทางเอาน้ำมาใช้เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มองพฤติกรรมการใช้น้ำของตัวเองว่าเป็นอย่างไร รู้จักประหยัดน้ำหรือไม่ เพราะถ้ามีน้ำแล้วเราไม่รู้จักใช้มันอย่างรู้ค่า ต่อให้มีน้ำมากเท่าไหร่ก็คงไม่เพียงพอ”
และในระหว่างที่ชาวบ้านและทีมวิจัย กำลังดำเนินโครงการวิจัยในระยะแรกอยู่นั้น โครงการ SML. เห็นความพยายามของชาวบ้านที่จะหาแนวทางพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนเอง จึงจัดสรรงบประมาณมาให้จำนวนหนึ่ง ชาวบ้านนำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในการต่อเติมฝายวังอีแร้ง เพื่อรองรับน้ำในยามหน้าฝน งบประมาณอีกส่วนนำไปพัฒนาและปรับปรุงระบบประปา และซื้อมอเตอร์สูบน้ำตัวใหม่ทดแทนตัวเดิมที่ชำรุดไป
การต่อเติมฝายวังอีแร้ง ทำให้บ้านผาชันด้านทิศใต้ 21 ครัวเรือนที่เคยขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งได้มีน้ำใช้ เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่สูงเกินกว่าที่ระบบ “ประปาหมู่บ้าน” จะส่งน้ำมาถึง และในทางกลับกันก็จะทำให้อีก 113 ครัวเรือนที่อยู่ด้านเหนือด้านที่ติดแม่น้ำโขงมีน้ำ “ประปาภูเขา” ใช้ในช่วงหน้าน้ำเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวน้ำในแม่น้ำโขงจะท่วมบุ่งพระละคอนซึ่งไม่สามารถนำเครื่องลงไปสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้
และในส่วนของการสูบน้ำจากบุ่งพระละครขึ้นมาใส่ถังประปาหมู่บ้านนั้น ทีมวิจัยค้นพบ “แอร์แว” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการสูบน้ำด้วยการใช้อากาศเข้าไปช่วยในการเพิ่มแรงดันให้เครื่องสูบน้ำ โดยการต่อท่อซึ่งมีความยาว 1 เมตร 2 อัน
ครูกลบอกว่า “แอร์แว” หรือ “แอร์แวะ” คือการปล่อยให้อากาศมันแวะเข้าไปในน้ำ ทำให้น้ำมีแรงดันมากขึ้น...และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ...ไม่ทำให้เครื่องสูบ น้ำได้รับความเสียหายเหมือนกับทีผ่าน ๆ มา
“เป็นการค้นพบกันโดยบังเอิญ...ตอนนั้นเราทำฝายที่วังอีแรงเสร็จแล้ว ก็เหลือแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะสูบน้ำจากบุ่งพระละครขึ้นมาได้ เพราะหากสูบแบบเดิมเครื่องสูบน้ำพังแน่นอน พอดีมีชาวบ้านชื่อ ชรินทร์ อินทร์ทอง เข้ามาในเวทีประชาคม เล่าว่าตอนเขาสูบน้ำรดต้นไม้ เห็นสายยางขาดทำให้สายยางมันสะบัดไปมา และน้ำมันก็ฉีดแรงขึ้น....แกเลยเสนอให้เจาะรู้แล้วลองต่อท่อ...ทีมวิจัยก็ เลยเอาไปทดลองทำ...ทดลองอยู่หลายครั้ง เพราะมันต้องให้ได้ระยะของมัน ห่างเกินไป หรือ ใกล้กันเกินไปก็สูบน้ำไม่ขึ้น ระยะห่างที่ลงตัวที่สุดคือ ตัวท่อแอร์แวยาว 1 เมตร ระหว่างท่อทั้ง 2 อยู่ที่ 30 เซนติเมตร”
“แอร์แว” ทำให้คนบ้านผาชันมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แต่ชาวบ้านก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หากแต่ได้ร่วมกันคิดหาทาง “ประหยัดน้ำ” ขึ้นอีก เพราะจากการสำรวจข้อมูลการใช้น้ำของชุมชนพบว่าใน 1 วันคนบ้านผาชันใช้น้ำ 44,757.6 ลิตร โดยพบว่า กิจกรรมที่ใช้น้ำมาที่สุดคือ อาบ,ล้างหน้า,แปรงฟัน ใช้น้ำมากถึง 13,962 ลิตร ลองลงมาคือน้ำซักผ้า 10,566 ลิตร ซึ่งเมื่อทีมวิจัยได้นำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุมในเวทีประชาคมหมู่บ้านให้ชาว บ้านช่วยกันคิดหาวิธีลดการใช้น้ำ หรือ ใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อันเป็นที่มาของกิจกรรม “ครอบครัวประหยัดน้ำ” โดยมอบรางวัลแก่ครอบครัวที่ชนะเลิศ เดือนละ 1 ครั้ง และให้ครอบครัวที่ได้รับรางวัลอธิบายเทคนิค วิธีการประหยัดน้ำให้กับครอบครัวอื่นๆ ได้ทราบและนำไปปฏิบัติตาม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแบ่งกลุ่มดูแลทำความสะอาดบ่อน้ำธรรมชาติของชุมชน เพื่อให้บ่อนำมีพื้นที่กักเก็บน้ำมากยิ่งขึ้น.........................
ปัจจุบันบุญธรรม และสมาชิกในครอบครัว ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอ “ขอด” น้ำจากก้นบ่อเพื่อเอามาใช้ดื่มกินอีกแล้ว เพราะมี “น้ำ” ที่พวกเขาเรียกกันติดปากว่า “น้ำจากงานวิจัย” ให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่บุญธรรมก็ไม่ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย ตรงกันข้ามครอบครัวของเขาช่วยกันประหยัด และใช้น้ำทุกหยดอย่างรู้ค่า กระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็น “ครอบครัวประหยัดน้ำ”ของหมู่บ้านรายแรกๆ
Sat Oct 29, 2016 10:04 pm by buahom
» 100CBN เว็บคลิกไทย 10-20 บาทต่อคลิก+จ่ายจริง
Tue Jan 05, 2016 9:38 pm by buahom
» 100CBN เว็บคลิกไทย 10-20 บาทต่อคลิก+จ่ายจริง
Tue Jan 05, 2016 9:25 pm by buahom
» กสทช.หารือโอเปอเรเตอร์สรุปขั้นตอนการใช้บริการยกเลิก SMS *137 แก้ไขปัญหาผู้ใช้บริการสับสน
Sun Oct 05, 2014 10:28 pm by Admin
» วิธีการแจังยกเลิกบริการSMS ที่ถูกคิดค่าบริการ DTAC AIS True
Sun Oct 05, 2014 10:21 pm by Admin
» SoftEther VPN Client โปรแกรมปลี่ยนไอพี (ip) ให้เป็นไอพีต่างประเทศ
Sun Oct 05, 2014 9:17 pm by Admin
» HMA Pro VPN 2 6 9 Crack + Patch [HIDE MY ASS]
Fri Oct 03, 2014 11:22 am by Admin
» DHCP หมายถึงอะไร
Wed Oct 01, 2014 3:28 pm by Admin
» เพาะเลี้ยงกุ้งฝอย
Wed Oct 01, 2014 12:14 am by Admin